Hellraiser III: Hell on Earth (1992) งาบแล้วไม่งุ่นง่าน
Hellraiser III: Hell on Earth (1992) งาบแล้วไม่งุ่นง่าน
ซึ่งในครั้งนี้คนที่ต้องเจอกับกล่องและพี่พินเฮด (Doug Bradley) คือ นักข่าวสาวโจอี้ ซอมเมอร์สกิล (Terry Farrell) โดยที่ในครั้งนี้พินเฮดและพลพรรคของเขาต้องการจะทำให้โลกทั้งใบกลายเป็นนรก โอ้ งานนี้งานใหญ่ครับ โจอี้เลยต้องสืบหาความจริงเกี่ยวกับพินเฮดเพื่อใช้ในการหยุดยั้งมันก่อนจะสายเกินไปสำหรับผม จบบริบูรณ์ไปในภาค 2 แล้วครับ ภาคนี้ถือว่าดันทุรังทำออกมา แต่ก็ยังพอมีความเกี่ยวเนื่องกับ 2 ภาคก่อน ดังนั้นจะเรียกว่าเป็นภาคผนวกก็พอไหว ซึ่งช่วงต้นๆ ออกจะอืดและน่าเบื่อไปหน่อย แต่ก็พอจะมีฉากโหดๆ ให้หายง่วงขึ้นมามั่ง แต่พอพี่พินเฮดแกโผล่มานี่ หนังน่าดูขึ้นมาเลยครับ เพราะพี่พินเฮดนี่แหละจุดที่ทำให้หนังตอนนี้สนุกขึ้นมาก็เนื่องมาจากตัวพินเฮดมีความซับซ้อนขึ้น อย่างนี้ครับจริงๆ แล้วพี่พินเฮดนี่ก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน แต่เพราะไปเปิดไอ้กล่องนี่เขาเลยโดนทำให้กลายเป็นซีโนไบท์ไป แล้วทีนี้ตอนนี้ก็เป็นการต่อสู้ระหว่างพินเฮดสุดชั่วกับเอลเลียต สเปนเซอร์ ผู้ที่เป็นร่างมนุษย์ของพินเฮดนั่นแหละ (เหมือนพระเจ้ากับพิคโคโล่ ใน นั่นแหละครับ) หนังเลยทวีความสนุกมากยิ่งขิ้นครับ เพราะเล่นกับตัวพินเฮด ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉลาดมากเลยครับ เพราะหนังแนวเดียวกับเรื่องอื่นๆ จะไม่ค่อยทำอะไรกับปีศาจประจำเรื่องเท่าไหร่ แต่ในหนังชุด นี้จะกลายเป็นว่าเราได้ติดตามพัฒนาการของปีศาจพินเฮดไปเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของหนังนะครับส่วนฉากห๋าก็โหดมากครับ ยิ่งไอ้ตอนฆ่าล้างบาร์นี่สยองมากๆ ผมว่าคนที่ไปเที่ยวเทค หากดูฉากที่ว่าคงสยองล่ะครับ มันฆ่ากันโหดมากจริงๆแล้วพอมาช่วงท้ายหนังจึงมีลุ้นอยู่พอสมควร Hellraiser III: Hell on Earth งาบแล้วไม่งุ่นง่าน ตอนตีกับพี่พินเฮดก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวครับ แล้วซีโนไบท์ภาคนี้ก็มีเพิ่มอีกเพียบด้วย (แต่เสียดายที่ไม่ค่อยมีบทบาทมากเท่าไหร่)โดยรวมๆก็นับว่าโอเคนะครับ ยังพอไหว ไม่เด็ดเท่า 2 ภาคแรก แต่ก็ยังไม่ถือว่าน่าผิดหวังครับ ยังสนุกและดูได้ดีอยู่ ก็เอามาดูต่อกับสองภาคแรกก็ไม่เลวครับ ผมชอบเอามาดูต่อกันสามตอนเสมอๆ น่ะ มันติดลมน่ะครับหนังชุดสยองที่ทำได้ต่อเนื่องและเนื้อเรื่องดีมันหาไม่ได้บ่อยหรอกนะครับ และภาคนี้ก็ได้ (คนเขียนบทจากภาคสอง) มาคิดเรื่อง จริงๆ เขาจะได้กำกับนะครับ แต่เผอิญหนังตกเป็นลิขสิทธิ์ของ (และนี่ก็เป็นหนังเรื่องแรกของค่ายนี้ด้วยนะครับผม) และทางผู้ใหญ่ของบริษัทเห็นว่า Atkins ยังไม่มีประสบการณ์เพียงพอ ก็เลยให้ มากำกับแทน ซึ่งเขาก็ดังมาจากหนังสยอง Waxwork ที่พอจะสนุกอยู่เหมือนกัน กับเรื่องนี้ก็ไม่เลว